สังฆมณฑลเชียงราย

เส้นทางสู่การเป็นคาทอลิก : ครูจิ๋ว

เส้นทางการเป็นคาทอลิกของ “ครูจิ๋ว”
               คุณครูจิ๋วเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นคนสมุทรสงคราม เป็นคนสุดท้องในพี่น้องเจ็ดคน บิดามีอาชีพประมงส่วนมารดาเป็นครู
               จบปริญญาตรีวิทยาศาสตร์จาก ม.ราชภัฏสวนสุนันทา ปริญญาโทหลักสูตรและการสอน ที่ ม.ราชภัฏพระนคร ปัจจุบันจบปริญญาเอกบริหารการศึกษาและนวัตกรรม

รู้จักศาสนาได้อย่างไร
            ตอนเรียนมัธยมที่ จ.สมุทรสงคราม พี่แป๊ะ(รุ่นพี่ที่เป็นคาทอลิก) เอารูปแม่พระมาให้ห้อย รู้สึกอบอุ่น ใครถามว่านับถือศาสนาอะไร ก็บอกว่าเป็นคริสต์ คือเรามีความเลื่อมใส เลื่อมใสอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วความเลื่อมใสก็ค่อย ๆ หายไป เพราะไม่ได้สัมผัส ต่อมาทำงานที่โรงเรียนดรุณานุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนคริสต์คาทอลิก เรารู้สึกอยากเข้าโบสถ์ แต่ตอนนั้นคุณพ่อผู้บริหารดุ แต่จริง ๆ แล้วพ่อใจดี แต่ด้วยความรู้สึกว่ากลัว หรืออาจจะเป็นเพราะท่านเป็นเจ้านายก็ไม่รู้ แต่มารู้จักจริงจังที่ฟังคำเทศน์ของพระคุณเจ้าชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ที่ว่า “เราไม่มีเวลารออีกแล้ว ชีวิตเรารอไม่ได้อีกแล้ว เรารอช้าที่จะรู้จักพระเจ้าไม่ได้อีกแล้ว เราละเลยที่จะรู้จักพ่อของเรามานานแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าลังเลที่จะรู้จักพ่อที่แท้จริงของเรา”
           แต่มีความรู้สึกว่าคนที่เป็นคาทอลิกมีลักษณะสองประการ คือ คนที่เป็นนักบวชหรือผู้เผยแพร่จะมีความเอื้ออาทรอบอุ่นในตัวเอง แต่คนที่เป็นคริสตชนเป็นกลุ่มชนที่มีโลกส่วนตัว คือกลุ่มคนที่กลัวที่จะเปิดเผยตนเอง หรือเขารู้สึกว่าจะเป็นคนกลุ่มน้อยก็ไม่รู้ เรารู้สึกว่าเขาไม่เปิดเผยให้ใครรู้ ทั้ง ๆ ที่เรารู้สึกว่าเมื่อเรามาเป็นคนคริสต์เรารู้สึกว่าเราอยากประกาศตัวเองมากเลยเราอยากให้ทุกคนรู้จักเรา

การเรียนคำสอน
              ถามแฟนว่าทำอย่างไรถึงจะรู้จักพระเจ้าเหมือนที่คุณพ่อชูศักดิ์พูด เหมือนกับว่าทำอย่างไรดี พ่อบอกว่าเวลาของเราไม่มีแล้ว เราจะลังเลอยู่ไม่ได้แล้วเราจะต้องทำอย่างไรเพื่อรู้จักพระเจ้า แฟนบอกว่าต้องเรียนอย่างเป็นลำดับขั้นตอนที่ถูกต้อง คือเข้ามาไม่ใช่ว่าอยากเข้ามา แต่เราต้องเข้ามาโดยรู้ที่ไปที่มาอย่างชัดเจนแล้วก็เหมาะสม และเมื่อต่อไปเราก็จะต้องบอกให้ใครรู้ เราจะได้บอกได้ถูกต้องว่าทำไมหรืออย่างไร ว่าศาสนาของเราเป็นใคร อย่างไร คือมีความมหัศจรรย์เหนือความคิดหลายอย่างที่เราอยู่แล้วเรารู้สึกได้เองว่ามันเหนือสติปัญญาความเป็นมนุษย์ที่จะมโนว่าพระเจ้าคืออะไร มันเป็นเรื่องไร้สาระที่จะไปคิดว่าพระเจ้าคือใคร แต่เป็นเรื่องที่เราควรจะต้องทำตัวอย่างไรมากว่าในช่วงชีวิตที่เรามีอยู่ เราควรที่ทำตัวหรือปฏิบัติตัวอย่างไร ตามคำสอนอย่างไร ไม่ต้องมาวนเวียนอีกแล้วว่าเราควรเชื่อไหม พระเจ้าเป็นใคร ไม่มีความจำเป็นเพราะสติปัญญาของเราด้อยค่าจริง คือมันมีข้อพิสูจน์หลายอย่างที่เรามโนไม่ถึงหรือเราไปบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ แต่เรายังไม่รู้ตัวตนของธรรมชาติเลย คือมันเป็นความอ่อนเขลาของมนุษย์ จิ๋วจึงคิดว่าทำอย่างไรที่จะให้ช่วยให้ทุกคนรู้จักพระ เพราะคนเราหลงไปเชื่อว่าธรรมชาติ ธรรมชาติคือใคร แล้วเราไปเชื่อธรรมชาติ แต่ไม่เชื่อพระ พอเรามาเป็นคนคริสต์เราจึงอยากบอกทำไมเราจึงไม่เลือกเชื่อสิ่งที่เหนือความคาดหมายที่ความโง่เขลาเรา แต่เราไปเชื่อว่า..โอ..ธรรมชาติสร้าง

การเปลี่ยนแปลงในชีวิต
             จิ๋วรู้สึกว่าแย่ คือว่า มีหลักคิดมากมาย แต่เราก็ยังต้องขอโทษพระ มันเป็นการยากที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่เราก็มีความมุ่งมั่น ศาสนาคริสต์มีข้อดีมากคือสร้างความมุ่งมั่นให้กับเรา สมมุติว่าเรารู้สึกอ่อนแอหรือท้อแท้เราก็ขอให้พระเจ้าประทานพระจิตเจ้าให้เราเพื่อให้เรามีสติปัญญาหรือความอดทนที่จะต้องสู้กับเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมาย แต่เราในแต่ละวันแค่ 24 ชั่วโมง เดี๋ยวมันก็หลุดแล้วปล่อยให้มารมาทำความโมโหใส่เรา ปล่อยให้สิ่งแย่ ๆ มาสู่เรา ในทุกเช้าเราก็จะมีเวลาขอโทษพ่อของเรา ตามที่พ่อสอนว่าพระเจ้าเป็นบิดาของเรา ไม่มีพ่อคนไหนที่จะเกลียดชังลูกของตนเอง พ่อให้อภัยเสมอ แต่เราต้องเข้ามาขอโทษพระองค์ สำนึกในความผิด ที่เราทำ
              ที่เราเข้ามาในศาสนาคริสต์นี้ ความสำนึกในบาปเนี่ยเราเกิดขึ้นตลอดเวลา ถึงแม้เราจะหลุดได้ด้วยความเป็นมนุษย์ปุถุชนของเรา ด้วยบาปกำเนิดที่ติดตัวเราในสันดานหรือในสายเลือดของเรา แต่มันจะมีห้วงแห่งความคิดที่เรารู้สึกผิด นี้เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตคือต้องกระชากอารมณ์ให้รู้สึกถึงความถูกต้อง ถ้าเรารู้สึกผิดเราก็จะไม่กล้าทำ แต่เราเผลอได้ เราต้องรู้สึกผิดที่จะขอโทษ ตอนเป็นคนพุทธรู้สึกว่าดีจังเลยคนคริสต์อยากทำอะไรเราก็ทำแล้วก็ไปขอโทษพระ แต่พอเรามาอยู่จริงๆ เรารู้สึกเราอายมากคือมันแย่มากที่เรารู้ว่ามันผิด แต่เราก็ยังปล่อยใจที่จะทำผิด แล้วเราก็รู้สึกที่จะต้องขอโทษพระทุกวัน นี้คือความแย่ของตนเองที่จะต้องขอโทษพระทุกเช้า และเราพยายามที่จะทำให้น้อยลง ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตก็คือ เราตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อเราเป็นศิษย์พระคริสต์ ฉันสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ฉันเป็นคนที่มองคนอื่นด้วยความเมตตา รู้สึกอายที่จะทำความผิด เดิมเราอาจจะมองคนอื่นอย่างเหยียดหยามก็เคยมี สมเพชก็เป็น แต่พอเรามาเป็นอยู่อย่างนี้ มาเป็นศิษย์พระคริสต์ เรารู้สึกว่าถ้าเราไม่เป็นตัวอย่างที่ดี เราจะบอกได้อย่างไรว่ามาเชื่อในพระเจ้าเถิด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือเราอยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเรา เพื่อให้ทุกคนหันกลับมา รู้จักพระบิดาหรือพ่อที่แท้จริง   เราโตมาด้วยความรู้สึกเหยียดหยามผู้อื่นเสมอ และต้องถีบตัวเองให้สูงกว่าผู้อื่นตลอดเวลา แต่ตอนนี้มีความรู้สึกว่าเราจะช่วยอะไรใครก็ได้

ข้อแนะนำเพื่อการสอนคำสอน
               ส่วนใหญ่คนมาหาพระ มาเข้าวัด เขาจะมีความทุกข์ เวลาสุขจะไม่มา คนที่มีความทุกข์ ถ้าผู้ใหญ่ที่มาเรียนคำสอน เขาต้องการที่จะแสวงหาหรือพบหนทางที่จะได้ตามความต้องการ ความทุกข์คือต้องการแล้วไม่ได้ แต่ถ้าเรามาเป็นศิษย์ของพระ ถ้าเราเปลี่ยนจากความอยากได้ให้มาเป็นความอยากให้ แล้วเราจะมีความสุขขึ้น คืออยากได้แล้วไม่ได้คือทุกข์ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราจะได้ตลอดเวลา อยากได้ตำแหน่งหน้าที่ เงินเยอะ สารพัด แต่ถ้าเปลี่ยนจากความอยากได้เป็นความอยากให้ ที่เราอยากได้นี้ มันมีความมืดและความสว่าง เพราะฉะนั้นความมืดวันนี้สุดท้ายจะเป็นความสว่าง เมื่อเราสว่างแล้ว เราเปลี่ยนจากความอยากได้เป็นอยากให้ ลองให้ของคนอื่นดูสักครั้งหนึ่งสิ แล้วเราจะรู้ว่ามีความสุขแท้จริง ถ้าไม่เกิดกับตนเองก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ที่เรียนคำสอนต้องได้สัมผัสจริงว่าลองไปให้คนอื่นบ้าง ถ้าคิดได้ว่าทุกสิ่งเป็นพระประสงค์ ต้องเชื่อว่าพ่อของเรามอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้เราเสมอ ถ้าไม่ใช่วันนี้ ก็มีวันหน้ารออยู่เสมอ เหมือนคนให้ของขวัญเรา วันนี้เราอาจจะไม่ได้ แต่วันหน้าเราก็จะได้ คนที่รักเรายังไงก็จะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เราเสมอ ต้องมีความเชื่อที่แท้จริง เชื่อว่ามีสิ่งที่ดีรออยู่ข้างหน้า มีความหวังเสมอ

การมาวัดวันอาทิตย์
               เราต้องถือว่าวันอาทิตย์เป็นหน้าที่ก่อน คือ คนเราจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ เพราะฉะนั้นใหม่ ๆ เราต้องคิดว่า การมาวัดนี้ เราเริ่มต้นจากการที่เราคิดว่าวันอาทิตย์เราต้องตื่นตอนเช้าแล้วมาวัดทำหน้าที่ แค่นี้ให้ได้ก่อน คือเริ่มจากการรับผิดชอบของตนเอง ในการมาวัด ไม่ต้องเริ่มด้วยความเชื่อ เพราะเราอาจจะยังไม่เชื่อ แต่ต้องรับผิดชอบ ฉันมีหน้าที่ที่ต้องไปวัด มีหน้าที่ที่ต้องเรียนหนังสือ เพราะเมื่อเราเริ่มจากการรับผิดชอบตัวเราเองได้ เราจึงสัมผัสได้และจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วเราโหยหาว่าจะรับศีลมหาสนิท เพื่อจะได้ใกล้ชิดพระเจ้า ถ้ารับผิดชอบมาก่อนอย่างอื่นจะตามมาเอง

              จริง ๆ แล้วคนคริสต์ได้เปรียบคือทุกอย่างเอื้อประโยชน์ให้ วันอาทิตย์เป็นวันหยุดงาน ไม่ต้องกังวล มีแบบแผนที่กำหนดให้แล้วว่าทุกหน่วยงานหยุด เรามีระเบียนแบบแผนให้รับผิดชอบหน้าที่ ไปขอบคุณพระ เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะนอน ถ้าเราจะนอนเราต้องขอบคุณพระ แล้วพระจะมองเรา เหมือนที่พ่อให้ดูคลิปช่างตัดผม ถ้าผมยาว ถ้าพระเจ้ามีจริงทำไมทำไมจึงมีคนยากจน ช่างตัดผมตอบว่า ถ้าคุณผมยาวแล้วไม่เดินมาหาผม คุณจะรู้ไหมว่ามีช่างตัดผม ถ้าคุณไม่เดินมาหาพระแล้วพระจะรู้จักคุณได้อย่างไร พระจะจัดคิวให้อย่างไร การมาวัดจึงเป็นการลัดคิวเพื่อให้พระเจ้ารู้จักก่อน อยู่แถวหน้า เพื่อให้พระเจ้ารู้จัก จากหน้าที่ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าขาดพระชีวิตก็ไม่สมบูรณ์

              ทุกวันนี้สวดให้ลูกเพื่อให้รับพระเมตตา ทุกวันนี้ยังฟังซีดีคำสอนพ่อทุกวันเวลาขึ้นรถไม่ฟังเพลง ฟังคำสอนพ่อจำได้หมดเดี๋ยวจบเอกเมื่อไรมาช่วยพ่อเต็มที่เลย